#ยันต์ #ครองจักรวาล ผลงานออกแบบยันต์โลหะ #อันดับ๑ ของโลก มหายันต์อุดมคติ ๑,๐๐๐ ล้าน บารมี แห่งสหัสวรรษ)
สรุปเนื้อหาความสำคัญบนแผ่นยันต์
ยันต์นี้แบ่งส่วนการออกแบบเป็น 9 ชั้น (เศวตฉัตร)
เนื้อหาสำคัญเป็นยันต์โลหะแผ่นแรกของโลกที่มีการจารึกรูปพระพุทธเจ้า 16 พระองค์ เป็นประธานบนแผ่นยันต์ ประกอบด้วยพระพุทธเจ้าปางเปิดโลกทรงเครื่องจักรพรรดิตราธิราช, พระพุทธเจ้าปางจักรพรรดิตราธิราช (ปางสมาธิ) ซ้ายและขวา, พร้อมด้วยพระพุทธเจ้าปางมารวิชัย รวม 16 พระองค์
ชั้นที่ 1-8 จากล่างสุดขึ้นบน จารึกรูปพระแม่ธรณีสีทันดร
พระสยามเทวาธิราช พระคลังมหาสมบัติ
ในช่องฉัตรชั้นต่างๆ จารึกคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า (จบบท)
พระคาถาอิติปิโส (จบบท) พระคาถาชัยมงคลคาถา พาหุง มหากา (จบบท)
พระคาถาวัฏฏกปริตร (จบบท) พระคาถาบารมี 30 ทัศ วางยันต์สกลชมภูทวีป ยันต์สมบัติจักรพรรดิ์, ยันต์ตรีนิสิงเห 1-9, ยันต์ครอบจักรวาลและยันต์สำคัญอื่นๆ
ชั้นที่แปดตีช่องยันต์ในกลุ่มยันต์รูปเรือสำเภาและวงแหวนจักรวาล
ลงอักขระ "ว ร ทิ พฺรา สุ ส ข ลํ อุ ทฺวิ ปํ กุ อ มํ น
พุทโธ สัพพัญญุตญาโณ ธัมโมโลกุตตโล สังโฆมัคคผลตัตโถ
มรรคาสรวงสวรรค์อันเพรียบพร้อม รุ่งเรือง มุ่งมั่น กตัญญู ซื่อตรง ผู้ครอบครองสำเภาเภตราอัญมณีแห่งจักรวาล"
และบารมี 30 ทัศ (มินฺตา ทส ปทา ปญฺจ ปญฺญาสวณฺณลงฺกตา ปูริตา เยน โส โลเก อคฺคปุคฺคลตํ คโต.)
ชั้นที่ 9 บนสุด จากรึกรูปพระพุทธเจ้าเปิดโลกปางทรงเครื่องจักรพรรดิตราธิราช ล้อมรัศมีด้วยพระคาถาพระพุทธเจ้า 16 พระองค์
ล้อมด้วย 27 ดาวนักขัตฤกษ์และรังสีสุริยะ 64 แฉก วางยันต์ นะ 108 ตั้งธงชัยหัวใจพระพุทธคุณ พุ โม ย โว น โร พร้อมด้วยฝนแสนห่าพระคาถาอิติปิโสพุทธคุณซ้ายขวา
ล่างสุดจำลองภูมิจักรวาลแบบขนาน ตั้งลายกาบเป็นภูเขาน้อยใหญ่คล้ายไตรภูมิ หรือภูมิมิติจำนวนจักรวาลเป็นอนันต์นับไม่ได้
ยอดของภูมิจักรวาลแต่ละภูมิวางดอกบัวบานแทนดวงตาเห็นธรรมในภูมินั้นๆ กลางล่างสุดเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผมทำให้เกิดสายธารมหานที ท่วมส่วนหนึ่งของภูมิจักรวาลทั้งหมดทุกภูมิจักรวาลพร้อมกัน
เหนือภูมิจักรวาล จารึกรูปพระพุทธเจ้า ๑๓ พระองค์พร้อมด้วยต้นพระศรีมหาโพธิ์อันหมายถึงพระบารมีแผ่ไพศาลและหนักแน่นมั่นคงประเสริฐผู้สมควรครอบครองบัลลังก์แก้ว
ด้านซ้ายจารึกรูปพระสยามเทวาธิราชมงคลจักรวาล ด้านขวาจารึกรูปพระคลังมหาสมบัติ
ล้อมรูปพระสยามเทวาธิราชและพระคลังมหาสมบัติ ด้วยรูป ๑๐ เหลี่ยมแทนบารมีสิบทัศ โดยจัดวางให้เข้ามุมขนานกันเพื่อจำลองการดึงดูดและผลักดันกันและกัน ทั้งนี้จัดกลุ่มและกระจายออกเป็นชุดๆ แทนดวงดาวต่างๆ ในจักรวาล ภายในรูป ๑๐ เหลี่ยม จารึกพระคาถาธาตุกรณี ตั้งธาตุและหนุนธาตุจากพระคัมภีร์พุทธมนต์โอสถ
ตั้งอาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) หนุนด้วยแก้วมณีโชติ, ตั้งปฐวีธาตุ (ธาตุดิน) หนุนด้วยแก้วไพฑูรย์, ตั้งเตโชธาตุ (ธาตุไฟ) หนุนด้วยแก้ววิเชียร และตั้งวาโยธาตุ (ธาตุลม) หนุนด้วยแก้วปัทมราช
จากนั้นตั้งธาตุอักษรสวรรค์ (อักขระพระคาถาปฐมอักขระ) ลงยันต์ปิดอีกชั้นหนึ่งด้วยยันต์สามเหลี่ยมและยันต์พุทธจันทร์
จัดระยะช่องไฟวางยันต์ตรีนิสิงเห ยันต์สมบัติจักรพรรดิ์ตราธิราช ยันต์จตุโร ยันต์ นะ โม พุท ธา ยะ และราชวัตรฉัตรธงครบสมบูรณ์
ลงอักขระ วัมมิกสูตร ซึ่งพระสูตรนี้เป็นพระสูตรที่พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงแก่พระกุมารกัสสปะ พบในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เนื้อหาของพระสูตรกล่าวเปรียบร่างกายเหมือนจอมปลวกที่มีลักษณะพิเศษ คือ พ่นควัน
ในเวลากลางคืน พ่นไฟในเวลากลางวัน มีลิ่มสลักและอึ่งเป็นต้นอยู่ภายใน ใจความสำคัญของพระสูตรนี้ครอบคลุมหลักปฏิบัติวิปัสสนา ทั้งหมดเริ่มตั้งแต่ผู้สอน ผู้ปฏิบัติ อารมณ์กรรมฐาน อุปสรรค และวิธีแก้ไข โดยมีผลสุดท้ายคือการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ (ท่านที่สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมและดาวน์โหลดพระสูตรได้ทาง https://drive.google.com/.../1BBSd4hnvOowW8lw6jiT.../view... )
สรุปเนื้อหาส่วนบนสุด สำเภามหาสมบัติโลกุตรภูมิ (ยาวหน่อยครับยันต์ที่สุดของโลกต้องมีที่มาและความหมายเหนือคำบรรยาย) ดังนี้
ลงอักขระ "ว ร ทิ พฺรา สุ ส ข ลํ อุ ทฺวิ ปํ กุ อ มํ น
พุทโธ สัพพัญญุตญาโณ ธัมโมโลกุตตโล สังโฆมัคคผลตัตโถ
มรรคาสรวงสวรรค์อันเพรียบพร้อม รุ่งเรือง มุ่งมั่น กตัญญู ซื่อตรง ผู้ครอบครองสำเภาเภตราอัญมณีแห่งจักรวาล"
ถอดอักขระคาถาบทเต็มว่า ดังนี้
วรทิพฺราสุสขลํ อุทฺวิปํกุอมํนิติ
ติปญฺจ คมฺภีรา ปญฺหา สมฺพุทฺเธน วิยากตา.
แปลว่า : ปัญหาลึก 15 ข้อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์แล้ว
คือ ว ร ทิ พฺรา สุ ส ข ลํ อุ ทฺวิ ปํ กุ อ มํ น.
คำเฉลยของปัญหานี้อยู่ในวัมมิกสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ (ม.มู. (บาลี) 12/249/211-212) โดยผู้แต่งได้นำศัพท์ต่าง ๆ ในพระสูตรนี้มาประพันธ์ไว้ในรูปของคาว่า
วมฺมิโก รตฺติ ธูมายิ ทิวา ปชฺชลิ พฺราหฺมโณ
สุเมโธ เจว สตฺถญฺจ ชนนา ลงฺคิเมว จ.
อุทฺธุมายิ ทฺวิธาปโถ ปงฺกวารญฺจ กุมฺมโก
อสี จ มํสเปสี จ นาโค จ ปนฺนรสิเม.
แปลว่า : ปัญหา 15 ข้อนี้ คือ จอมปลวก 1 กลางคืนเป็นควัน 1
กลางวันเป็นเปลว 1 พราหมณ์ 1 ผู้มีปัญญาดี 1 ศาสตรา 1 การขุด 1
ลิ่ม 1 อึ่งอ่าง 1 ทางสองแพร่ง 1 ผ้ากรอง 1 เต่า 1 ดาบและเขียง 1
ชิ้นเนื้อ 1 นาค 1. (พระสิริรัตนปัญญา มหาเถระ, ม.ป.ป., น. 30)
จากคาถานี้ทำให้เห็นศัพท์อันเป็นที่มาของอักษรย่อทั้ง 15 ตัว โดยท่านได้ถอดมาจากศัพท์ในวัมมิกสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ดังต่อไปนี้
ว ย่อมาจาก วมฺมิโก แปลว่า จอมปลวก คือ ร่างกาย
ร ย่อมาจาก รตฺติ ธูมายิ แปลว่า กลางคืนเป็นควัน คือ ความคิดหรือการตรึกตรอง
ทิ ย่อมาจาก ทิวา ปชฺชลิ แปลว่า กลางวันเป็นเปลว คือ การกระทำการงาน
พฺรา ย่อมาจาก พฺราหฺมโณ แปลว่า พราหมณ์ คือ พระพุทธเจ้า
สุ ย่อมาจาก สุเมโธ แปลว่า คนมีปัญญาดี ศิษย์ คือ ผู้ปฏิบัติ
ส ย่อมาจาก สตฺถํ แปลว่า ศาสตรา เสียม คือ ปัญญา
ข ย่อมาจาก ขนนา แปลว่า การขุด คือ ความเพียร
ลํ ย่อมาจาก ลงฺคิ แปลว่า ลิ่ม คือ อวิชชา
อุ ย่อมาจาก อุทฺธุมายิ แปลว่า อึ่งอ่าง คือ ความโกรธ
ทฺวิ ย่อมาจาก ทฺวิธาปโถ แปลว่า ทางสองแพร่ง คือ วิจิกิจฉา
ปํ ย่อมาจาก ปงฺกวารํ แปลว่า ผ้ากรองนํ้า คือ นิวรณ์ ๕
กุ ย่อมาจาก กุมฺมโก แปลว่า เต่า คือ ขันธ์ ๕
อ ย่อมาจาก อสิ (รูนา) แปลว่า ดาบ มีด และเขียง คือ กามคุณ ๕
มํ ย่อมาจาก มํสเปสิ แปลว่า ชิ้นเนื้อ คือ นันทีราคะ
น ย่อมาจาก นาโค แปลว่า นาค คือ พระอรหันต์
มีอรรถาธิบายความหมายไว้ว่า
"พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า ดูกรภิกษุ คำว่า จอมปลวกนั่นเป็นชื่อของ
กายนี้ อันประกอบด้วยมหาภูตรูปทั้ง ๔ ซึ่งมีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เจริญด้วยข้าวสุกและขนมกุมมาส ไม่เที่ยง ต้องอบรม ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา.
ปัญหาข้อว่า อย่างไรชื่อว่าพ่นควันในกลางคืนนั้น ดูกรภิกษุ ได้แก่การที่บุคคลปรารภการงานในกลางวัน แล้วตรึกถึง ตรองถึงในกลางคืน นี้ชื่อว่าพ่นควันในกลางคืน.
ปัญหาข้อว่า อย่างไร ชื่อว่าลุกโพลงในกลางวันนั้น ดูกรภิกษุ ได้แก่การที่บุคคลตรึกถึงตรองถึง (การงาน) ในกลางคืน แล้วย่อมประกอบการงานในกลางวัน ด้วยกาย ด้วยวาจา นี้ชื่อว่าลุกโพลงในกลางวัน.
ดูกรภิกษุ คำว่า พราหมณ์นั้น เป็นชื่อของพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. คำว่า สุเมธะ นั้น เป็นชื่อของเสขภิกษุ. คำว่า ศาตรานั้นเป็นชื่อของปัญญาอันประเสริฐ. คำว่า จงขุดนั้น เป็นชื่อของการปรารภความเพียร. คำว่า ลิ่มสลักนั้น เป็นชื่อของอวิชชา.
คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า
พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดั่งศาตรา ยกลิ่มสลักขึ้น คือจงละอวิชชาเสีย จงขุดมันขึ้นเสีย.
คำว่า อึ่งนั้น เป็นชื่อแห่งความคับแค้นด้วยสามารถความโกรธ. คำนั้นมีอธิบาย ดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดั่งศาตรา ยกอึ่งขึ้นเสีย คือจงละความคับแค้นด้วยสามารถความดับโกรธเสีย จงขุดมันเสีย.
คำว่า ทาง ๒ แพร่งนั้น เป็นชื่อแห่งวิจิกิจฉา. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า
พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตราก่นทาง ๒ แพร่งเสีย คือจงละวิจิกิจฉาเสีย จงขุดมันเสีย
คำว่าหม้อกรองน้ำด่างนั้น เป็นชื่อของนิวรณ์ ๕ คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตรา ยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้นเสีย คือจงละนิวรณ์ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย. คำว่า
เต่านั้น เป็นชื่อของอุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตรา ยกเต่าขึ้นเสียคือ จงละอุปาทานขันธ์ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย.
คำว่าเขียงหั่นเนื้อนั้น เป็นชื่อของกามคุณ ๕ คือ รูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นรูปที่น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยโสต กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ ... รสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา ... โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย
น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นรูปที่น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตรา ยกเขียงหั่นเนื้อเสีย คือ จงละกามคุณ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย. คำว่าชิ้นเนื้อนั้น เป็นชื่อของนันทิราคะ. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาตรา ยกชิ้นเนื้อขึ้นเสีย คือ จงละนันทิราคะ จงขุดขึ้นเสีย
คำว่านาคนั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้ขีณาสพ คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า นาคจงหยุดอยู่เถิด เจ้าอย่าเบียดเบียนนาค จงทำความนอบน้อมต่อนาคดังนี้.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระกุมารกัสสปะมีใจชื่นชม เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล"
ล่างสุด เนื้อหาหลัก พระแม่ธรณีบีบมวยผม
ในคัมภีร์และงานเขียนยุคแรกของศาสนาพุทธ เช่น พระไตรปิฎก, อรรถกถา ไม่มีการระบุถึงบทบาทของพระธรณีในตอนมารวิชัย อย่างไรก็ตามหลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่มีการระบุถึงพระธรณีในตอนมารวิชัยคือลลิตวิสตระในนิกายมหายาน แต่งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 8 โดยระบุว่าพระธรณีได้เสด็จมาแสดงความยินดีร่วมกับเทวดาองค์อื่น ๆ หลังพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ในศิลปะอินเดียยุคราชวงศ์คุปตะปรากฏการสร้างพระธรณีในรูปสตรีนั่งอยู่ประกอบฉากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในฐานะของเทพเจ้าแห่งพื้นดิน (ซึ่งอาจหมายถึงพระภูเทวีหรือเทพเจ้าที่คล้ายคลึงกันองค์อื่น ๆ ) ในท่าทางพนมมือหรือถือหม้อกลัศ อาจารย์เชษฐ์ ติงสัญชลีได้ให้ความเห็นว่าเป็นหม้อซึ่งบรรจุน้ำทักษิโณทกของพระพุทธเจ้าในชาติต่าง ๆ ก่อนตรัสรู้คติลักษณะการบีบมวยผมของพระแม่ธรณีนั้นปรากฏพบเฉพาะในภูมิภาคไทย ลาว พม่า และเขมรเท่านั้น อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏชัดเจนว่าเริ่มต้นมีความเชื่อนี้ตั้งแต่เมื่อใด
พุทธบารมีนั้นมีมากล้นดังมวลน้ำที่เก็บรักษาไว้ในมวยผมพระแม่ธรณีเมื่อคลายสายธารบารมีออกเสียก็ท่วมล้นไหลเป็นคลื่นมหานที ขับไล่เหล่ามารอย่างราบคาบ
ยันต์รูปประกอบด้วย
พระสัมพุทธชินเจ้า (ชัยชนะแห่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์)
พระพุทธชินราช (รูปลายเส้นจำลอง)
พระพุทธชินสีห์ (รูปลายเส้นจำลอง)
พระสยามเทวาธิราชมงคลจักรวาล ครองจักรวาล (ออกแบบใหม่)
พระคลังมหาสมบัติจักรพรรดิ์ (ออกแบบใหม่)
พระพุทธเจ้าในอนาคตวงศ์ ๑๐ พระองค์ ได้แก่
๑. พระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า
๒. พระรามพุทธเจ้า
๓. พระธรรมราชพุทธเจ้า
๔. พระนารทพุทธเจ้า
๕. พระธรรมสามีพุทธเจ้า
๖. พระรังสีมุนีนาถพุทธเจ้า
๗. พระเทวเทพพุทธเจ้า
๘. พระนรสีหะพุทธเจ้า
๙. พระติสสะพุทธเจ้า
๑๐. พระสุมังคะละพุทธเจ้า
ตีช่องยันต์เป็นฉัตรแปดชั้น
ในช่องฉัตรชั้นที่ ๑ และ ๒ จารึกคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า (จบบท)
ต่อด้วยบทพระพุทธคุณ ชัยมงคลคาถา พาหุง มหากา (จบบท)
วางยันต์กำบังรถพระอิศวรซ้ายขวา ๑ คู่ วางยันต์ปราสาทไพชยนต์ธรรมสภา ตั้งองค์ตรีนิสิงเหเพิ่มอีก ๖ ดวง (ต่อจากภาคที่แล้วรวมครบ ๑๐ ดวง)
กล่าวถึง
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ประทับเสวยวิมุตติสุข (คือการพบสุขที่เกิดเพราะความหลุดพ้น จากกิเลส) อยู่ในที่ ๗ แห่งๆ ละ ๗ วัน
ดังนี้ ครบกำหนดเจ็ดวันในการออกแบบยันต์สำหรับจารึกแผ่นโลหะ ว่าด้วยพระพุทธบารมี ครองจักรวาล ก็สำเร็จเสร็จสมบูรณ์ดังนิรมิต
มินฺตา ทส ปทา ปญฺจ
ปญฺญาสวณฺณลงฺกตา
ปูริตา เยน โส โลเก
อคฺคปุคฺคลตํ คโต.
แปลว่า : "บท 10 ประการ มี มิ อักษรเป็นตัวสุดท้าย ประดับด้วยอักษร
55 อักษร อันท่านผู้ใดบำเพ็ญเต็มที่แล้ว ท่านผู้นั้นย่อมถึงความเป็น
บุคคลผู้เลิศในโลก." (พระสิริรัตนปัญญา มหาเถระ, ม.ป.ป., น. 48)
จากคำแปลดังกล่าวจะสังเกตได้ความว่า คำว่า "มินฺตา" ที่แปลว่า "มี มิ อักษรเป็นตัวสุดท้าย" เป็นคำบอกใบ้ให้ทายว่า อักษร มิ ย่อมาจากคำใดบ้าง และคำเหล่านั้น เมื่อนำมารวมกันแล้วจะได้ 55 อักษร (พยางค์)
ซึ่งได้แก่ บารมี 10 ประการ อันเป็นหลักธรรมที่พระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนาทุกพระองค์จะต้องบำเพ็ญให้บริบูรณ์ครบทั้ง 3 ระดับ คือ บารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมี โดยย่ออักษร มิ จากชื่อบารมีทั้ง 10 ประการ ดังนี้
1. ทานปารมิ ทานบารมี
2. สีลปารมิ ศีลบารมี
3. เนกฺขมฺมปารมิ เนกขัมมบารมี
4. ปญฺญาปารมิ ปัญญาบารมี
5. วิริยปารมิ วิริยบารมี
6. ขนฺติปารมิ ขันติบารมี
7. สจฺจปารมิ สัจจบารมี
8. อธิฏฺฐานปารมิ อธิษฐานบารมี
9. เมตฺตาปารมิ เมตตาบารมี
10. อุเปกฺขาปารมิ อุเบกขาบารมี
คำศัพท์บาลีที่เป็นชื่อของบารมี 10 นั้น ลงท้ายด้วยคำว่า "มิ" ทั้งสิ้น
มีทั้งหมด 10 ศัพท์ (บท) และเมื่อนับพยางค์ของคำศัพท์ทั้งหมดแล้วจะได้จำนวน 55 พยางค์พอดี
การวางอักขระบนสุดของยันต์ชุดนี้ วางเส้นตารางยันต์เป็นการโคจรของดาวต่างๆ ในจักรวาล ในแต่ละช่อง ลงอักขระ "มินตา ถึง คโต" จนจบบท วางวงกลม ลงอักขระ มิ จำนวน 10 วง ลงอักขระ มะ 1 วง ลงอักขระ อะ และ อุ ในช่องยันต์โคจรจักรวาล จากนั้นได้คลี่คลายขยายบารมีทั้งสามสิบนี้ด้วยพระคาถาพระพุทธบารมี ชัยมงคลคาถา พาหุง มหากาฯ และอื่นๆ จนจบบทครบทุกบารมีคาถาต่อเนื่องจนถึงชัยชนะมาร ณ โพธิบัลลังก์