ศาสตร์แห่งตัวเลขมงคลที่อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนาน
นับแต่โบราณกาลถึงปัจจุบันและอนาคต
ตรีนิสิงเห หลักหรือต้นปฐมของเลขยันต์ในยันต์ไทย เช่นยันต์จตุโรบังเกิดทรัพย์ ยันต์โสฬสมหามงคล ยันต์สมบัติจักรพรรดิตราธิราช ฯลฯ


จากเลขมงคลทั้งสิบสองตามคัมภีร์ตรีนิสิงเห ที่เกิดจากอัตรากำลังเทวดานพเคราะห์ ประกอบด้วยเลข ๑๒ ตัว แบ่งเป็น ๔ ชุด ชุด ละ ๓ ตัว และทุกชุดจะบวกกันได้เท่ากับ ๑๕ ได้แก่ “๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๘ ๕” มีความหมายใช้แทนคุณพระตลอดจนเทพยดาในโลกธาตุ จากนั้นนำเลขอัตราทวาทสมงคลมาคูณหารกันตามลำดับไป เพื่อการใช้ในเลขยันต์ต่าง ๆ ทั้งที่ลงด้วยตัวเลขและแทนตัวอักษรที่มีอยู่ในยันต์ อีกทั้งได้มีการประดิษฐ์ยันต์องค์พระจากอัตราทวาทสมงคลด้วยสูตรเลขยันต์ตรีนิสิงเห ได้ดังนี้
ชื่อเรียกการคูณ การหารอัตราทวาทสมงคล ๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๘ ๕
๓ คูณ ๓ หาร ๓ ครั้ง ชื่อ มงคลเทพตรี, มงคลเพ็ชชาตรี เป็นองค์ตรีนิสิงเห
๗ คูณ ๗ หาร ๗ ครั้ง ชื่อ เกราะเพชรตรี, พระยาฉัททันต์ถอดรูป เป็นองค์สัตตนาค
๕ คูณ ๕ หาร ๕ ครั้ง ชื่อ นารายณ์แปลงรูป, เพช็ชร์ฉลูกรรม์ถอดรูป เป็นองค์ปัญจะเพ็ชชฉลู
๔ คูณ ๔ หาร ๔ ครั้ง ชื่อ เพชรสี่ด้าน, เทวดาถอดรูป เป็นองค์จตุเทวา
๖ คูณ ๖ หาร ๖ ครั้ง ชื่อ ดับสมุทร เป็น องค์ฉวัจฉราชา
๕ คูณ ๕ หาร ๕ ครั้ง ชื่อ พระอินทร์ถอดรูป (ไปหาชาวสวรรค์ทั้งปวง) เป็นองค์ปัญจะอินทรา
๑ คูณ ๑ หาร ๑ ครั้ง ชื่อ กุมภัณฑ์ถอดรูป (แผลงฤทธิ์เหาะข้ามฝั่งอโนดาต) เป็นองค์เอกยักขา
๙ คูณ ๙ หาร ๙ ครั้ง ชื่อ พระพรหมถอดรูป (แผลงฤทธิ์ให้เทวดากลัว) เป็นองค์นวเทวา
๕ คูณ ๕ หาร ๑๐ ครั้ง ชื่อ อัฏจักรอิศวรแบ่งภาค เป็นองค์ปัญจะพรหมา
๒ คูณ ๒ หาร ๒ ครั้ง ชื่อ นารายณ์เทพบุตรแบ่งภาค, พระยาสององค์ถอดรูป เป็นองค์ทเวราชา
๘ คูณ ๘ หาร ๘ ครั้ง ชื่อ นารายณ์ถอดรูป, พระอรหันต์ทั้ง ๘ ถอดรูป เป็นองค์อัฏฐอรหันตา
๕ คูณ ๕ หาร ๕ ครั้ง ชื่อ พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ถอดรูป (เข้าฌานสมาบัติ) เป็นองค์ปัญจะพุทธา
๕ คูณ ๕ หาร ๑ ครั้ง ชื่อ นารายณ์บังพล
๕ คูณ ๕ หาร ๓ ครั้ง ชื่อ เกราะเพ็ชชาตรี
๗ คูณ ๗ หาร ๑ ครั้ง ชื่อ มงคลเพชรสี่ด้าน
ยันต์เบอร์มงคลตรีนิสิงเห ใช้หลักการเลขทุกเลขมีค่าเป็นมงคลล้วนสัมพันธ์กันสามารถผสานถ่ายเทหลอมรวมและแยกสลายหลากหลายพลวัต ไม่สามารถตั้งอยู่อย่างโดดๆได้ จึงมีอิทธิพลในวิถีชีวิตทั้งดีและร้าย มีผลกระทำมงคลด้านดีได้ด้วยจิตใจศรัทธาและความเข้าใจความหมายอันลึกซึ้ง ดังนั้นจึงได้รวบรวมองค์พระตรีนิสิงเหทั้งสิบสององค์มาเรียงลำดับตามหมายเลขโทรศัพท์วางแบบทักษิณาวรรต หมายถึงการเวียนขวา ล้อมรอบลัคนาดวงชะตาราศีเพื่อเสริมสร้างรับส่งพลังมงคลให้ทุกหมายเลขเป็นเบอร์มงคลด้วยการผูกสัมพันธ์ตัวเลขยันต์เข้ากับตัวบุคคลและหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้งานเป็นประจำให้สอดคล้องกับที่มาและความหมายมงคลคัมภีร์ตรีนิสิงเห ขจัดอิทธิพลพลังไม่ดีให้หมดสิ้นไป




ตัวอย่างการวางองค์พระตรีนิสิงเห หมายเลข 0123456789 และ 0996956922 วางดวงลัคนา พร้อมยันต์ประทับ องค์พระควัมบดี ตราราชสีห์
เบอร์มงคล ตรีนิสิงเห
ยันต์ที่ทำให้หมายเลขโทรศัพท์ทุกเบอร์เป็นมงคล หนึ่งเดียวในโลก
ด้วยแต่ละแผ่นจารึกตามดวงลัคนาชะตาราศีและวางองค์พระตรีนิสิงเหตรงตามหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้งาน ตัวอย่างวางหมายเลข ๐๑๒๓๔๕๖๗๘๙ และ ๐๙๙๖๕๙๖๙๒๒ พร้อมลัคนา ประทับด้วยองค์พระควัมบดีและตราพระราชสีห์
๑. ยันต์ดวงลัคนาผสานสัมพันธ์กับยันต์เลขมงคลตรีนิสิงเห
๒. ถอดหมายเลขโทรศัพท์เป็นยันต์องค์พระตรีนิสิงเห กำกับด้วยหมายเลขด้านข้างยันต์
๓. วางลัคนากลางแผ่นยันต์แทนจักรราศี ทั้ง ๑๒ และเป็นวงกลมกำเนิดจักรวาลหรือเลขศูนย์ แผ่รัศมีออกเป็นอุณาโลมคู่แล้วกระจายออกเป็นองค์พระตรีนิสิงเหตามหมายเลขต่าง ๆ เรียงลำดับทักษิณาวรรต
๔. วางยันต์รูปธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มุมยันต์ทั้งสี่ด้านตามตำแหน่งทิศปรับดวงส่วนบุคคล
๕. ครั้งแรกของโลกในการใช้องค์พระตรีนิสิงเหผูกสัมพันธ์กับการรับส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือตามหมายเลขผู้ใช้ คือพัฒนาการใหม่ยันต์ไทยสู่อนาคตที่นอกเหนือจากที่เคยใช้เลขยันต์ตรีนิสิงเหในการประดิษฐานยังยอดช่อฟ้า องค์พระพุทธรูปและสิ่งสำคัญศักดิ์สิทธิ์แต่โบราณกาล
ที่มาของเลขสิบสองมงคล
อัตราทวาทสมงคล ประกอบด้วยตัวเลขพื้นฐาน ๑-๙ เป็นหลัก ซึ่งเลขแต่ละตัวจะแทนดวงดาวในระบบสุริยะ ส่วนขั้นตอนการทำอัตราทวาทสมงคล มีวิธีคิดโดยใช้กำลังของดาวอัฐเคราะห์ (๘ ดาว) มาคำนวณ ดังที่กล่าวไว้ใน คัมภีร์ตรีนิสิงเห “สิทธิการิยะ ถ้าจะทำตรีนิสิงเห ท่านให้ตั้งกำลังเทวดาลงคือ อาทิตย์ ๖ จันทร์ ๑๕ อังคาร ๘ พุท ๑๗ พฤหัส ๑๙ ศุกร์ ๒๑ เสาร์ ๑๐ ราหู ๑๒ เอาประสมกันเข้าได้ ๑๐๘” กำลังเทวดาหรือกำลังดาว ๑๐๘ นี้ มีคำอธิบายอยู่ในคัมภีร์โลกธาตุ
วิธีทำ
1. นำเลขกำลังเทวดาอัฐเคราะห์บวกเข้าด้วยกันได้ ๑๐๘ แล้วจากนั้น เอาคุณพระสงฆ์ ๑๔ คูณกำลังเทวดาทั้งหมดคือ ๑๐๘ ได้ ๑๕๑๒
2. ให้เอาคุณพระธรรม ๓๘ หาร ได้ ๓๙ เศษ ๓๐, เอา ๓๐ มาหาร ๓๙ ได้ผลลัพธ์ ๑ เศษ ๙ เอาผลลัพธ์กับเศษบวกกัน (๑+๙) ได้ ๑๐ เอาไปบวกกับ ๑๐๘ ได้ลัพธ์ ๑๑๘
3. เมื่อได้ผลลัพธ์ ๑๑๘ จากนั้นให้เอา ๙ หาร ได้ผลลัพธ์ ๑๓ เศษ ๑
4. ให้เอาผลลัพธ์มาลบกับเศษ (๑๓-๑) ได้ ๑๒ ชื่อ “ทวาทสมงคล”
เลขทวาทสมงคล (เลข ๑๒) ถือว่าเป็นเลขสำคัญที่สุดในการคำนวณอัตราทวาทสมงคล สันนิษฐานว่า คัมภีร์ตรีนิสิงเหต้องการให้เลขทวาทสมงคลสื่อถึงกลุ่มดาวจักรราศีทั้ง ๑๒ กลุ่มดาว โดยใช้แทนค่า เลข ๑๒ เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ดาวในระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นประธาน ตามหลักโหราศาสตร์ถือว่าพระอาทิตย์อุบัติก่อนพระเคราะห์ดวงอื่น เมื่อดวงอาทิตย์โคจรผ่านหมู่ดาวที่ปรากฏอยู่ตามแนวเส้นสุริยวิถีทั้ง ๑๒ กลุ่ม ที่เรียกว่า กลุ่มดาวจักรราศี เริ่มตั้งแต่ กลุ่มดาวราศีเมษ กลุ่มดาวราศีพฤษภ กลุ่มดาวราศีเมถุน กลุ่มดาวราศีกรกฎ กลุ่มดาวราศีสิงห์ กลุ่มดาวราศีกันย์ กลุ่มดาวราศีตุลย์ กลุ่มดาวราศีพิจิก กลุ่มดาวราศีธนู กลุ่มดาวราศีมังกร กลุ่มดาวราศีกุมภ์ กลุ่มดาวราศีมีน ตามลำดับ เกิดเป็นจักรราศีทั้ง ๑๒ กลุ่มดาวจักรราศีเหล่านี้เป็นแบบแผนให้เกิดเป็นดวงสำหรับผูกดวงและวางลัคณาในวิชาโหราศาสตร์ ในส่วนวิชาเลขยันต์ โบราณาจารย์ได้พัฒนาแผนภูมิจักรราศีขึ้นเป็นตารางยันต์ตรีนิสิงเห ที่ประกอบด้วยช่อง ๑๒ ช่อง จึงไม่น่าแปลกที่นักปราชญ์หลายท่าน สันนิษฐานว่า ยันต์คือแผนภูมิดวงดาว ดังนั้นความรู้ในคัมภีร์ตรีนิสิงเหอาศัยแนวคิดพื้นฐานมาจากดวงดาวและปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเช่นเดียวกับวิชาโหราศาสตร์ เมื่อได้เลขทวาทสมงคลแล้ว ลำดับถัดไปเป็นการทำอัตราทวาทสมงคล
วิธีคำนวณอัตราทวาทสมงคล
1. ตั้งทวาทสมงคล (๑๒) เอา ๔ หาร ได้ ๓ เป็นเลขตัวที่ ๑
2. ตั้งทวาทสมงคล (๑๒) เอา ๒ บวก เอา ๒ คูณ เอา ๔ หาร ได้ผลลัพธ์ ๗ เป็นเลขตัวที่ ๒
3. ตั้งทวาทสมงคล (๑๒) เอา ๒ ลบ เอา ๒ คูณ เอา ๔ หาร ได้ ๕ เป็นเลขตัวที่ ๓
4. ตั้งทวาทสมงคล (๑๒) เอา ๔ บวก ๔ หาร ได้ผลลัพธ์ ๔ เป็นเลขตัวที่ ๔
5. ตั้งทวาทสมงคล (๑๒) เอา ๒ คูณ เอา ๔ หาร ได้ผลลัพธ์ ๖ เป็นเลขตัวที่ ๕
6. ตั้งทวาทสมงคล (๑๒) เอา ๒ ลบ เอา ๒ คูณ เอา ๔ หาร ได้ ๕ เป็นเลขตัวที่ ๖
7. ตั้งทวาทสมงคล (๑๒) เอา ๒ คูณ เอา ๔ หาร เอา ๒ ลบ เอา ๔ หาร ได้ผลลัพธ์ ๑ เป็นเลขตัวที่ ๗
8. ตั้งทวาทสมงคล (๑๒) เอา ๒ คูณ เอา ๔ หาร เอา ๖ คูณ เอา ๔ หารได้ผลลัพธ์ ๙ เป็นเลขตัวที่ ๘
9. ตั้งทวาทสมงคล (๑๒) เอา ๒ ลบ เอา ๒ คูณ เอา ๔ หาร ได้ผลลัพธ์ ๕ เป็นเลขตัวที่ ๙
10. ตั้งทวาทสมงคล (๑๒) เอา ๔ ลบ เอา ๔ หาร ได้ผลลัพธ์ ๒ เป็นเลขตัวที่ ๑๐
11. ตั้งทวาทสมงคล (๑๒) เอา ๒ ลบ เอา ๓ คูณ เอา ๒ บวก เอา ๔ หาร ได้ผลลัพธ์ ๘ เป็นเลขตัวที่ ๑๑
12. ตั้งทวาทสมงคล (๑๒) เอา ๒ ลบ เอา ๒ คูณ เอา ๔ หาร ได้ ๕ เป็นเลขตัวที่ ๑๒
เมื่อกระทำตามขั้นตอนดังกล่าว จะได้อัตราทวาทสมงคล (เลขตรีนิสิงเห) ตามลำดับ ดังนี้ “๓ ๗ ๕ ๔ ๖ ๕ ๑ ๙ ๕ ๒ ๘ ๕” (สำหรับลำดับเลขและการทำอัตราทวาทสมงคลนั้น มีความต่างกันเพียงเล็กน้อยในคัมภีร์แต่ละฉบับ) สรุปที่มาและความหมายของเลขแต่ละอัตราได้ ดังนี้
1. ที่มาของเลข ๓
- ในการอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข ๓ ด้วย พญาราชสีห์ทั้ง ๓ ซึ่งใช้เป็นชื่อของคัมภีร์ เพราะเป็นเลขตัวแรกในอัตราทวาทสมงคล ในคัมภีร์ตรีนิสิงเห กล่าวว่า“ตรีนิสิงฺเหเป็นสิงห์สามตัว คือ ธรราชสีห์อันเป็นโพธิสัตว์เจ้าตัวหนึ่ง กาฬราชสีห์ตัวหนึ่ง” ปัณฑูรราชสีห์ตัวหนึ่ง
- ในการอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข ๓ ด้วย ม อ อุ “ม นั้นคือพระสูตร อ นั้นครืพระอภิธรมมทั้ง ๗ คำภี อุ นั้นคือพระวินัยทั้ง ๕ คำภี” จากคำอธิบายดังกล่าว ม อ อุ หมายถึง ปิฎกทั้ง ๓ คือ พระสูตร พระอภิธรรมและพระวินัยตามลำดับ
- อีกความหมายหนึ่งเลข ๓ แทนด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังที่อธิบาย ว่า “สิง ๓ ตัว คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา” ธรรม ๓ ประการนี้เรียกว่า ไตรลักษณ์ เป็นสามัญลักษณะที่ครอบงำทุกสิ่ง และมีเสมอกันแก่สังขาร (ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง) ทั้งปวง กล่าวคือ อนิจจัง สิ่งทั้งหลายย่อมมีความไม่เที่ยง ไม่คงที่ เกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมสลายไป ทุกขัง ภาวะที่ถูกบีบคั้นให้ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ เพราะเหตุที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่งทำให้ต้องมีความเปลี่ยนแปรไป และอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตนหรือไม่มีตัวตนแท้จริง หรือ ไม่ได้เป็นที่ตั้งแห่งตัวตน
- อีกหนึ่งความหมาย เลข ๓ แทนด้วย อโลภะ อโทสะ อโมหะ ดังที่อธิบายว่า “ตรีสิง ๓ ตัว คือ อโทโส อโมโห อโลโพ” ธรรม 3 ประการนี้ เรียกว่า กุศลเหตุ ดังที่มีคำอธิบายใน ธรรมสังคิณีปกรณ์ ดังนี้
บรรดากุศลเหตุ ๓ นั้น อโลภะ เป็นไฉน การไม่โลภ กิริยาที่ไม่โลภ ความไม่โลภ ความไม่กำหนัด กิริยาที่ไม่กำหนัด ความไม่กำหนัด ความไม่เพ่งเล็ง กุศลมูล คืออโลภะ นี้เรียกว่า อโลภะ.
อโทสะ เป็นไฉน การไม่คิดประทุษร้าย กิริยาที่ไม่คิด
ประทุษร้าย ความไม่คิดประทุษร้าย ฯลฯ ความไม่พยาบาท ความไม่คิดเบียดเบียน กุศลมูลคืออโทสะ นี้เรียกว่า อโทสะ.
อโมหะ เป็นไฉน? ความรู้ในทุกข์ ความรู้ใน ทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ความรู้ในส่วนอดีต ความรู้ในส่วนอนาคต ความรู้ทั้งในส่วนอดีตและส่วนอนาคต ความรู้ในปฏิจจสมุปปาทธรรม ว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัยธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ปัญญา กิริยาที่รู้ชัดความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม ความกำหนดหมาย ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะภาวะที่รู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะที่รู้ละเอียด ความรู้แจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญปัญญาเหมือนแผ่นดิน ปัญญาเครื่องทำลายกิเลส ปัญญาเครื่องนำทาง ความเห็นแจ้ง ความรู้ชัดปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญาปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ปัญญาเหมือนศัสตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคือปัญญา แสงสว่างคือปัญญา ปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรคนับเนื่องในมรรค นี้ชื่อว่า อโมหะ
2. ที่มาของเลข ๗
- ในการอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข ๗ ด้วย พญาช้างทั้ง ๗ ดังที่กล่าวว่า “สตฺตนาเค เป็นช้างทั้งเจ็ดคือ พญาฉัททันต์ตัวหนึ่ง ช้างป่าเลไลยก์ตัวหนึ่ง ช้างไอยราพรตตัวหนึ่ง ช้างคีรีเมฆตัวหนึ่ง ช้างคีรีวันตัวหนึ่ง ช้างราชหตัวหนึ่ง ช้างปัจจัยนาเคนทร์ตัวหนึ่ง เป็นสัตตนาเคทั้ง ๗”
- ในการอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข ๗ ด้วย สํ วิ ธา ปุ ก ย ป ดังที่กล่าวว่า “สตฺตนาเค คือ ช้างทั้ง ๗ จะได้แก่อักษร สํ วิ ธา ปุ ก ย ป
สํ นั้น พระสังคิณี วิ นั้นคือ พระวิภังค์ ธา นั้นคือ พระธาตุกถา ปุ นั้นคือ พระปุคคลบัญญัติ ก นั้นคือ พระ
กถาวัตถุ ย นั้นคือ พระยมก ป นั้นคือ พระปัฏฐานคำภีร์...พระสังคินีมีอักษร ๑๓๖,๐๐๐ พระวิภังค์มีอักษร ๒๓๖,๐๐๐ พระธาตุกถามีอักษร ๔๔,๐๐๐ พระปุคคลบัญญัคิมีอักษร ๔๔,๐๐๐ พระกถาวัตถุ มีอักษร ๒๗,๐๐๐ พระยมกมีอักษร ๙๖,๐๐๐ พระมหาปัฏฐานมีอักษร ๑,๔๕๖,๐๐๐” จะเห็นได้ว่า การอธิบายนี้ กล่าวถึงอภิธรรม ๗ คัมภีร์และจำนวนอักษรในแต่ละคัมภีร์
- อีกหนึ่งความหมาย เลข ๗ แทนด้วย โพชฌงค์ ดังกล่าวว่า “สตฺตนาเคช้างทัง ๗” ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ หรือองค์ของผู้ตรัสรู้ ได้แก่
1. สติสัมโพชฌงค์ ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง
2. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม
3. วิริยสัมโพชฌงค์ ความเพียร
4. ปีติสัมโพชฌงค์ ความอิ่มใจ
5. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ความสงบกายใจ
6. สมาธิสัมโพชฌงค์ ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์
7. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ความมีใจเป็นกลาง
การเปรียบโพชฌงค์ ๗ กับพญาช้างทั้งเจ็ด เป็นการเทียบโพชฌงค์อันเป็นธรรมเครื่องตรัสรู้กับพญาช้างที่มีกำลัง
- อีกหนึ่งความหมาย เลข ๗ แทนด้วยเวทนา ๗ ดังที่กล่าวว่า “สตฺตนาเค คือ เวทนา ๗ ตัวรับอารมณทั้งปวง” เวทนาทั้ง ๗ เกิดจากการที่จิตรับอารมณ์ จักษุสัมผัสชาเวทนา หมายถึง เวทนาอันเกิดจากสัมผัสทางตา โสตสัมผัสชาเวทนา หมายถึง เวทนาอันเกิดจากสัมผัสทางหู ฆานสัมผัสชาเวทนา หมายถึง เวทนาอันเกิดจากสัมผัสทางจมูก ชิวหาสัมผัสชาเวทนา หมายถึง เวทนาอันเกิดจากสัมผัสทางลิ้น กายสัมผัสชาเวทนา หมายถึง เวทนาอันเกิดจากสัมผัสทางกาย มโนสัมผัสชาเวทนา หมายถึง เวทนาอันเกิดจากสัมผัสทางใจ กับเวทนาขันธ์ รวมเป็น ๗
3. ที่มาของเลข ๕ ตัวแรก
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข ๕ ด้วย พระเพชรฉลู ๕ องค์ ดังที่กล่าวว่า “ปญฺจเพชฉลู นเวม จ คือ พระเพ็ชฉลูหนึ่ง พระเพทยาธรหนึ่ง พระพฤหัสบดีหนึ่ง พระอิศวรองค์หนึ่ง พระอุมาภควดีองค์หนึ่ง พระนารายณ์องค์หนึ่งเป็น ๕ องค์แล” เป็นการอธิบายใช้นามของเทพเจ้าซึ่งเป็นที่รู้จักและนับถือโดยทั่วไป
- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข ๕ ด้วย ปา อ ก มุ สุ ดังที่กล่าวว่า “ปญฺจเพ็ชชลู นเมว จ คือพระเพ็ชชลูกัณฑ์ทั้ง ๕ คือจะได้แก่ ปา อ ก มุ สุ อักษรทั้ง ๕ ตัวได้แก่ศีล ๕ คือปานา อทินนาทาน กาเมสุมิจฉา มุสา สุรา” ปา อ ก มุ สุ ถอดมาจากพยางค์ต้นของ ศีลห้า ได้แก่ ปาณาติปาตาเวรมณี อทินฺนาทานาเวรมณี กาเมสุมิจฺฉาจาราเวรมณี มุสาวาทาเวรมณี สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานาเวรมณี
- อีกความหมายหนึ่ง เลข ๕ แทนด้วย พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ดังที่กล่าวว่า “ปญฺจเพ็ชชลู นเมว จ คือ พุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์” ในที่นี้ไม่ได้มุ่งอธิบายพระพุทธเจ้าโดยความหมายที่เป็นบุคคล แต่มุ่งแสดงถึงคุณสมบัติของจิต ดังที่ปรากฏในบทนมัสการพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ในคัมภีร์ปถมัง
- อีกหนึ่งความหมายเลข ๕ แทนด้วย เบญจขันธ์ ดังที่กล่าวว่า “เพ็ชชลู ครื ปัญจขันธ์ทั้ง ๕” ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป ได้แก่ส่วนประกอบที่เป็นรูปธรรมทั้งหมด รวมทั้งร่างกายและพฤติกรรมต่าง ๆ เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์หรือเฉย ๆ อันเกิดจากผัสสะ สัญญา ได้แก่ความจำได้หมายรู้ในอาการและลักษณะต่าง ๆ สังขาร ได้แก่ การปรุงแต่ง ในที่นี้หมายถึงองค์ประกอบหรือคุณสมบัติของจิต ที่ปรุงแต่งจิตให้เป็น กุศล อกุศล และอัพยากฤต วิญญาณ ได้แก่ ความรู้ในอารมณ์ที่กระทบกันระหว่างอายตนะภายนอกและภายใน เมื่อจัดขันธ์เข้าในปรมัตถธรรม วิญญาณขันธ์ จัดเข้าในจิต เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์ , สังขารขันธ์ จัดเข้าในเจตสิก รูปขันธ์ จัดเข้าใน รูป
4. ที่มาของเลข ๔
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข ๔ ด้วย ท้าวจตุโลกบาล ดังกล่าวว่า “จตุเทวา คือจตุโลกบาลทั้ง ๔ ท้าวธตรัฐมหาราชองค์หนึ่ง ท้าววิรุฬหกองค์หนึ่ง ท้าววิรูปักข์องค์หนึ่ง ท้าวกุเวรองค์หนึ่ง เป็น ๔ องค์แล” ถือเป็นการใช้นามของเทพเจ้าอันเป็นที่รู้จักของคนโดยทั่วไปเช่นกัน ในที่นี้ คือ ท้าวจตุโลกบาล
- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข ๔ ด้วย น ม พ ท ดังกล่าวว่า “จตฺตุเทวา คือเทวดา ๔ พระองค์ คือจตุโลกบาลทั้ง ๔ นั้นได้แก น ม พ ท
น นั้น พระกุกกุส น ม นั้นพระโกนาคม ม พ นั้นพระกัษส พ ท นั้นครืพระสิริสากยะมุนี น นั้นปัฏฐวีธาตุอยู่ไหล่ซ้าย ม นั้นอาโปธาตุอยู่คาง พ นั้นเตโชธาตุอยู่นาภี ท นั้นวาโยธาตุอยู่อุทร ฯ ธาตุมี ๒๑ เป็น อักษร ๒๑ เกษาคือ ก โลมาคือ ข นักขาคือ ค ทันตาคือ ฆ ตะโจคือ ง มังสังคือ จ นะหาโรคือ ฉ อัฏิคือ ช อัฏิมินชังคือ ฌ วักกังคือ ญ หทยังคือ ฏ ยักนังคือ ฐ กีโลมะกังคือ ฑ ปิหะกังคือ ฒ ปัพผาสังคือ ณ อันตังคือ ต อันตคุนังคือ ถ อุทริยังคือ ท กรีสังคือ ธ มัทโทคือ ฬ มัทลุงคือ อ ฯ ณีรูปธรรมคุนบิดา ๒๑ ธาตุนำ ๑๒ เป็นอักษร ๑๒ ปิตังคือ น เสมหังคือ ป บุปโภคือ ผ โลหิตังคือ พ เสโทคือ ภ เมโทคือ ม อัสสุคือ ย วสาคือ ร เขโฬคือ ล สิงฆานิกาคือ ว ลสิกาคือ ส อักษร ๑๒ ตัวนี้เป็นธรรมนำคือคุณ
พระมารดาแล” การถอดเอาพยางค์ น ม พ ท มาจาก อักษร ๔ ตัวแรกจากคาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ น โม พุทฺ ธา ย และยังมีการอธิบายธาตุดิน คือ อวัยวะ ๒๑ ชนิดที่มีลักษณะเป็นชิ้นเนื้อ และธาตุน้ำ คือ อวัยวะที่เป็นของเหลว ๑๒ ชนิด แต่ธาตุไฟและธาตุลมในที่นี้ไม่ได้กล่าวถึง
- อีกหนึ่งความหมาย เลข ๔ แทนด้วย ธาตุทั้ง ๔ ดังกล่าวว่า “จตฺตุเทวา คือ ธาตุทั้ง ๔” รายละเอียดเกี่ยวกับธาตุทั้ง ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม มีดังต่อไปนี้
1. ปฐวีธาตุ มีความแข็งเป็นลักษณะ แบ่งออกเป็น ๔ อย่าง คือ ลกฺขณปฐวี คือ ธาตุดินที่แสดงลักษณะแข็งและอ่อน พิสูจน์ได้ด้วยการถูกต้องสัมผัส สสมฺภารปฐวี คือ ธาตุดินอันเป็นส่วนประกอบของธาตุดินในสิ่งมีชีวิต ได้แก่อวัยวะที่มีลักษณะเป็นสสาร มี เกศา เป็นต้น และไม่มีชีวิต กสิณปฐวี คือ ดินที่ใช้เป็นนิมิตเครื่องหมายในการเจริญสมถภาวนา สมมติปฐวี คือ ธาตุดินที่สมมติเรียกกันโดยทั่วไป
2. อาโปธาตุ มีลักษณะไหลไปมา แบ่งออกเป็น ๔ อย่าง คือ ลกฺขณอาโป คือธาตุน้ำที่แสดงลักษณะไหลหรือเกาะกุมเมื่อต้องกับ สีตเตโช (ความเย็น) สสมฺภารอาโป ธาตุน้ำอันเป็นส่วนประกอบในสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต สำหรับในมนุษย์แสดงไว้ ๑๒ ประการ มี ปิตัง เป็นต้น กสิณอาโป น้ำที่ใช้เป็นนิมิตเครื่องหมายในการเจริญสมถภาวนา สมมติอาโป คือ น้ำที่สมมติเรียกกันโดยทั่วไป
3. เตโชธาตุ หากมีลักษณะร้อน เรียกว่า อุณหเตโช หากมีลักษณะเย็น เรียกว่า สีตเตโช แบ่งออกเป็น ๔ อย่าง คือ ลกฺขณเตโช ธาตุไฟที่แสดงลักษณะร้อน-เย็น พิสูจน์ได้จากการสัมผัสถูกต้อง สสมฺภารเตโช ธาตุไฟอันเป็นส่วนประกอบที่มีในร่างกาย หมายถึงไฟภายใน ได้แก่ ไฟธาตุที่ให้ความอบอุ่นในร่างกาย ไฟธาตุที่ทำหน้าที่ย่อยอาหาร ไฟธาตุที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม และไฟธาตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยและไฟธาตุในสิ่งไม่มีชีวิต กสิณเตโช ไฟที่ใช้เป็นนิมิตเครื่องหมายในการเจริญสมถภาวนา สมมติเตโช คือ ไฟที่สมมติเรียกกันโดยทั่วไป
4. วาโยธาตุ มีลักษณะทำให้เคร่งตึงหรือเคลื่อนไหว แบ่งออกเป็น ๔ อย่าง คือ ลกฺขณวาโย ธาตุลมที่มีความเคร่งตึงหรือเคลื่อนไหว สสมฺภารวาโย ได้แก่ ธาตุลมภายในร่างกายมนุษย์และสัตว์ มี ลมเบื้องสูง ลมเบื้องต่ำ ลมในช่องท้อง ลมในลำไส้ ลมที่ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหว และลมหายใจเข้า-ออก และวาโยธาตุใน
สิ่งไม่มีชีวิต กสิณวาโย ลมที่ใช้เป็นนิมิตเครื่องหมายในการเจริญสมถภาวนา สมมติวาโย คือ ลมที่สมมติเรียกกันโดยทั่วไป
- อีกหนึ่งความหมายเลข ๔ แทนด้วย อริยสัจ ๔ ดังกล่าวว่า “เทวดาทัง ๔ คือจัตุรียะ สัจจธรรม ทั้ง ๔ คือทุกขสัจจ์ สมุทไทยสัจจ์ มัคคนิโรธสัจจ์” อริยสัจ คือ ความจริงอันประเสริฐ ประกอบด้วย ทุกขสัจจ์ สมุทัยสัจจ์ มัคคสัจจ์ นิโรธสัจจ์ อริยสัจ เป็นหลักธรรมสำคัญของพระพุทธศาสนา จึงมีคำกล่าวที่ว่า “พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ” ที่สำคัญอริยสัจยังมีความสัมพันธ์กับหลักธรรมสำคัญอย่างปฏิจจสมุปบาทด้วย อริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกข์ หมายถึง ทุกขสภาวะ มี ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ เป็นต้น โดยสรุปอุปาทานขันธ์ (ความยึดมั่นในตัวตน) เป็นทุกข์ สมุทัย หมายถึง เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (ทุกขสมุทัย) ได้แก่ ตัณหา ความทะยานอยากแสวงหาความยินดีเรื่อยไป นิโรธ หมายถึง ความดับสิ้นไปของทุกข์ (ทุกขนิโรธ) คือ ภาวะแห่งพระนิพพาน ที่สงัดจากทุกข์ทั้งปวง ตัณหาและอุปาทานดับสิ้นแล้ว มรรค หมายถึง ทาง (แห่งการดับทุกข์-ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา) คือ มรรคมีองค์แปด
5. ที่มาของเลข ๖
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข ๖ ด้วย พญาทั้ง ๖ ดังกล่าวว่า “ฉวชฺชราชา คือพระยาทั้ง ๖ ท้าวองปาลราชองค์หนึ่ง ท้าวมหากบิลราชองค์หนึ่ง ท้าวนิมลนิลราชองค์หนึ่ง ท้าวทศราชองค์หนึ่ง ท้าวยมราชองค์หนึ่ง ท้าวสามลราชองค์หนึ่ง เป็น ๖ องค์” ชื่อเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากชื่อของพระราชาในนิทานชาดก
- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข ๖ ด้วย จ ต ย ต น ป ดังกล่าวว่า “ฉวชฺชราชา คือพระยาทั้ง ๖ ได้แก่ อักษร ๖ ตัวนี้ จ ต ย ต น ป นั้นเจ้าตุมมหาราชิกา ต นั้นคือดาวดึงษา (ดาวดึงส์) ย นั้นคือยามา ต นั้นคือดุสิตา (ดุสิต) น นั้นคือนิมมานรดี ป นั้นคือปรนิมมิตวสวัตตี กามาพจรทั่ง ๖ ชั้นแล เป็นที่อยู่แห่งสมเดจพญาจักรพรรดิ์ธิราชเจ้าแล คือหงแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ นางแก้ว ๑ พระขันธ์แก้ว ๑ กำแพงแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ ประสาทแก้ว ๑” นำเอาอักษรตัวแรกของชื่อกามาพจรสวรรค์ตามแนวคิดพุทธศาสนามาอธิบาย ข้อน่าสังเกตประการหนึ่ง คือ รัตนะทั้ง ๗ อันเป็นสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ์ มีที่กล่าวไว้ในคัมภีร์เล่มอื่นอีก ซึ่งได้แก่ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว
- อีกหนึ่งความหมายเลข ๖ แทนด้วยชื่อสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ดังที่กล่าวว่า “ฉวสฺสราชา ทั้ง ๖ องค์ คือจตุมหาราชิกาไปถึงนิมมานรดี” ที่มาของเลขส่วนนี้ต่างจากที่มาของเลขอื่น ๆ ที่เป็นหัวข้อธรรม
- อีกหนึ่งความหมายเลข ๖ แทนด้วย อินทรีย์ ๖ ดังที่กล่าวว่า “ฉวสฺสราชา คืออินทรีทั้ง ๖” อินทรีย์ หมายถึง สภาพที่เป็นใหญ่ในกิจของตน ได้แก่อายตนะภายใน ๖ คือ ตา เป็นใหญ่ในการมองเห็น หู เป็นใหญ่ในการได้ยิน จมูก เป็นใหญ่ในการได้กลิ่น ลิ้น เป็นใหญ่ในการรู้รส กาย เป็นใหญ่ในการสัมผัส ใจ เป็นใหญ่ในการพิจารณาอารมณ์
6. ที่มาของเลข ๕ ตัวที่สอง
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข ๕ ด้วย พระอินทร์ทั้ง ๕ ดังที่กล่าวว่า “ปญฺจอินทรา นเมว จ พระอินทร์ทั้ง ๕ คือ สมเด็จอมรินทร์องค์หนึ่ง พระศุลีองค์หนึ่ง พระยมราชองค์หนึ่ง พระจิตภาคองค์หนึ่ง พระอินทร์องค์หนึ่ง เป็น ๕ องค์” นามพระอินทร์ทั้ง ๕ มีอยู่สองชื่อเป็นคำเรียก พระอินทร์ ชื่ออื่นที่เหลือเป็นเทพเจ้า อย่างพระศุลี คือ พระอิศวร เป็นต้น
- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข ๕ ด้วย รุ เว ส ส วิ ดังกล่าวว่า “ปญฺจอินทรา นเมว จ ได้แก่ รุ เว ส ส วิ คือขันธ์ทั้ง ๕” หัวใจดังกล่าวย่อมาจากพยางค์ต้น ของ เบญจขันธ์ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
- อีกหนึ่งความหมายเลข ๕ แทนด้วย พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ดังกล่าวว่า “ปญฺจอินทรา นเมว จ อินทั้ง ๕ องค์คือ น โม พุทฺ ธา ย”.ในที่นี้เหมือนกับเลข ๕ ตัวแรกที่ไม่ใช่ชื่อของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคุณสมบัติของจิต
- อีกหนึ่งความหมายเลข ๕ แทนด้วย ประสาททั้ง ๕ ดังที่กล่าวว่า “ปันจะอินทรา คือประสาททั้ง ๕ หมายถึง เครื่องนําความรู้สึก ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย”
7. ที่มาของเลข ๑
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข ๑ ด้วย พระยาวสวัตตีมาร ดังกล่าวว่า “เอกยกฺขาคือ ยามาราธิราชองค์หนึ่ง”
- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข ๑ ด้วย อุ ดังกล่าวว่า “เอกยกฺขา ไดยแก่ อุ เอก ยกฺขา สันนิษฐานว่า มาจาก คำว่า “อุตตโม” ผู้สูงสุด หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- อีกหนึ่งความหมายเลข ๑ แทนด้วยพระพุทธเจ้า ดังกล่าวว่า “อยักนั้นคือ พุทธเจ้าองหนึ่ง”
- อีกหนึ่งความหมายเลข ๑ แทนด้วย จิต ดังที่กล่าวว่า “เอก ยกฺขา คือ ดวงจิต” จิตเป็นใหญ่ในการรับอารมณ์ เนื่องจาก “จิตเป็นธรรมชาติรู้อารมณ์ อารมฺมณ จินฺเตตีติ ธรรมชาติใดย่อมรู้อารมณ์อยู่เสมอ ธรรมชาตินั้นชื่อว่า “จิต” โดยจำแนกการรู้อารมณ์ของจิตออกเป็น ๓ ประเภท คือ การู้โดยอาการจำจด การรู้ตามเหตุผลตามความเป็นจริง และการรู้อารมณ์ตามทวารต่าง ๆ
8. ที่มาของเลข ๙
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข ๙ ด้วย เทวดานพเคราะห์ ดังกล่าวไว้เพียง นวเทวา คือ ทั้ง ๙ องค์ ๑ ๒
๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ เทวดาทั้ง ๙ พระองค์ คือ พระอาทิตย์องค์หนึ่ง พระจันทร์องค์หนึ่ง พระอังคารองค์หนึ่ง พระพุธองค์หนึ่ง พระพฤหัสบดีองค์หนึ่ง พระศุกร์องค์หนึ่ง พระเสาร์องค์หนึ่ง พระราหูองค์หนึ่ง พระเกตุองค์
หนึ่ง เป็นเทวดา ๙ พระองค์แล”
- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข ๙ ด้วย อ สํ วิ สุ โล ปุ ส พุ ภ ดังที่กล่าวว่า “นวเทวา ได้แก่ อ สํ วิ สุ โล ปุ ส พุ ภ” เป็นคาถาหัวใจที่ถอดมาจากพยางค์ต้น ของนวารหาธิคุณ (นวหรคุณ) หรือคุณของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ ตามที่ได้อธิบายไว้ในเบื้องต้นแล้ว
- อีกหนึ่งความหมาย เลข ๙ แทนด้วย โลกุตรธรรม ๙ ประการ ดังกล่าวว่า “นวเทวา เทวดาทั้ว ๙ องค์คือ นว โลกอุดร ทัง ๙ คือ อ สํ วิ สุ โล ปุ ส พุ ภ” นวโลกุตรธรรม หรือ ธรรมอันเหนือโลก ๙ ประการ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล และนิพพาน อีกตำราอธิบายพระนวารหาธิคุณ (นวหรคุณ) หรือ คุณของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ
- อีกหนึ่งความหมาย เลข ๙ ไม่ได้แทนด้วยข้อธรรมเหมือนเลขอื่น ๆ ดังที่กล่าวว่า “นวเทวา คือ เทวดาทั้ง ๙” หมายถึง เทวดานพเคราะห์
9. ที่มาของเลข ๕ ตัวที่สาม
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข ๕ ด้วย พระพรหมทั้ง ๕ ดังกล่าวว่า ปญฺจพฺรหฺมาสหบดี คือ พหรมทั้ง ๕ คือ ท้าวสหัมบดีมหาพรหมองค์ ๑ คือท้าวจิตรเทพพรหมองค์ ๑ คือ ฤาษรีองค์ ๑ คือ อันณะโคตมองค์ ๑ คือเทพพรหมภักบดีองค์ ๑
- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข ๕ ด้วย ปา อ กา มุ สุ ดังกล่าวว่า “ปญฺจพฺรหฺมาสหปติ ได้แก่ พรหมทั้ง ๕”
- อีกหนึ่งความหมาย เลข ๕ แทน พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ดังกล่าวว่า “พระเจ้า ๕ พระองค์ ดังที่กล่าวว่า “ปญฺจพฺรหฺมาสหบดีฯ พรหม ๕ องค์คือ น โม พุทฺ ธา ย”
- อีกหนึ่งความหมาย เลข ๕ แทนด้วย อายตนะ ทั้ง ๕ ดังที่กล่าวว่า “ปญฺจพฺรหฺมา คือ อายตนะทัง ๕” อายตนะ หมายถึง เครื่องต่อ แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ภายนอกและภายใน อายตนะภายนอกได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ส่วนอายตนะภายใน ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
10. ที่มาของเลข ๒
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข ๒ ด้วย พระยา ๒ องค์ ดังกล่าวว่า “ทเวราชา พระยาทั้งสอง คือพระรามเทพองค์หนึ่ง ท้าววิมลเสนาองค์หนึ่ง เป็น ๒ องค์แล”
- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข ๒ ด้วย น ร ดังกล่าวว่า “ทเวราชา ได้แก่ น ร” เป็นคาถาหัวใจที่ถอดมาจาก นาม-รูป
- อีกหนึ่งความหมาย แทนเลข ๒ ด้วย “ทเวราชา ทั้ง ๒ องนั้นคือ อชาติศัตรู หนึ่ง สิทโสกราชองค์หนึ่ง ครังนั้นอุปถัมสังคายนาย” การอธิบายในข้อนี้ ระบุพระนามของกษัตริย์สองพระองค์ที่ทำการอุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎก คือ พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้อุปถัมภ์การทำปฐมสังคายนา ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ และพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นผู้อุปถัมภ์การทำตติยสังคายนา ณ อโศการาม กรุงปาตลีบุตร
- อีกหนึ่งความหมาย เลข ๒ แทนด้วย นาม-รูป ดังกล่าวว่า “ทเวราชา คือ รูปแลนาม อาศัยแก่กัน” รูป-นาม หมายถึง องค์ประกอบของชีวิต รูป ได้แก่ รูปขันธ์ ส่วนนาม ได้แก่ นามขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
11. ที่มาของเลข ๘
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข ๘ ด้วย พระอรหันต์ ๘ องค์ ดังที่กล่าวว่า “อตฺถอรหนฺตา คือ อรหันต์ทั้ง ๘ คือ โมคัลลาองค์ ๑ คือ สารีบุตรองค์ ๑ คือ กัปปะเถรองค์ ๑ คือ สามเณรราหุลองค์ ๑ ครื สังกับตะสามเนนองค์ ๑ คือ นาคเสนองค์ ๑ คือโรมานาคเสนองค์ ๑ คือองคุลิมารองค์ ๑”
- อีกความหมายหนึ่ง แทนเลข ๘ ด้วย ปา อ อ มุ สุ วิ มา อุ ดังกล่าวว่า “อตฺถอรหนฺตา ได้แก่ ปา อ อ มุ สุ วิ มา อุ” ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการฆ่าสัตว์ อทินฺนา ทานา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการขโมยสิ่งของที่คนอื่นไม่ได้ให้ อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์ มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการพูดโกหก ไม่พูดหยาบคาย ส่อเสียด เพ้อเจ้อ ซึ่งเป็นสัมมาวาจา สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการกินเหล้า ที่เป็นที่ตั้งของความไม่ระมัดระวัง วิกาลโภชนา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการกินในยามวิกาล มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการประดับร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม เครื่องประดับ เครื่องทา เครื่องย้อม อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ : เว้นจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่ง ที่เท้าสูงเกิน ภายในมีนุ่นหรือสำลี
- อีกหนึ่งความหมาย แทนเลข ๘ ด้วย มรรค ๘ ดังกล่าวว่า “อตฺถอรหนฺตา อรหันต์ทั้ง ๘ องค์นั้นคือ สัมมาทิฏฐิ ไปถึงสัมมาสมาธิ” มรรคหรือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา คือหนทางแห่งการดับทุกข์ มี ๘ ประการ ได้แก่
๑) สัมมาทิฐิ (ความเห็นที่ถูกต้อง) หมายถึง ความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริง มีองค์ประกอบ ๖ ประการ คือ กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบว่าสัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตน ฌานสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบในการทำให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว ย่อมสามารถข่มกิเลสได้ วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญา
เห็นชอบในการพิจารณาขันธ์ โดยความเป็นไตรลักษณ์ มัคคสัมมาทิฏฐิ ปัญญาในการเข้าถึงอริยสัจ ผลสัมมาทิฏฐิ ปัญญาที่รู้ในผล เพื่อเสวยวิมุตติของพระนิพพาน ปัจจเวกขณสัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
๒) สัมมาสังกัปปะ หมายถึง ความด าริชอบ ที่ประกอบในกุศลธรรม ได้แก่ เนกขัมมวิตก คือ ความดำริออกจากกามและภพ อพาปาทวิตก คือ ความดำริที่ประกอบด้วยความไม่พยาบาท และอวิหิงสาวิตก คือ ความดำริที่ประกอบด้วยความไม่เบียดเบียน
๓) สัมมาวาจา หมายถึง การเว้นจากวจีทุจริต ได้แก่ เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการพูดหยาบคาย เว้นจากการพูดส่อเสียด และเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
๔) สัมมากัมมันตะ หมายถึง การกระทำชอบ คือเจตนาละเว้นจากกายทุจริต มีการฆ่า การลักทรัพย์ และการประพฤติผิดในกาม
๕) สัมมาอาชีวะ หมายถึง การเลี้ยงชีพชอบ การเว้นจากมิจฉาวณิชชา
๖) สัมมาวายามะ หมายถึง ความเพียรชอบ ดำเนินไปตามสัมมัปปธาน ๔ คือ ความพยายามป้องกันอกุศลที่ยังไม่เกิด ละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ทำกุศลที่ยังไม่เกิด
และดำรงรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
๗) สัมมาสติ หมายถึง ความระลึกชอบ การระลึกรู้ในอารมณ์สติปัฏฐาน ๔
๘) สัมมาสมาธิ หมายถึง ความตั้งใจมั่นชอบ มีความตั้งมั่นในสติปัฏฐาน มรรคมีองค์ ๘ นี้ ๒ ข้อแรกสงเคราะห์ใน ปัญญาสิกขา ๓ ข้อต่อมาสงเคราะห์ใน ศีลสิกขา ๓ ข้อท้ายสงเคราะห์ใน สมาธิสิกขา
- อีกหนึ่งความหมาย เลข ๘ แทนด้วย เทวดาที่รักษาในนาสิก ๘ องค์ “อฏฺฐอรหนฺตา คือ เทวดาอันรักษาในนาสิกทั้งสองข้าง ๆ ละ ๔ ตัว”
12. ที่มาของเลข ๕ ตัวที่ ๔
- การอธิบายเชิงรูปธรรม แทนเลข ๕ ด้วย พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ดังกล่าวว่า “ปญฺจพุทฺธา นมามิหัง คือพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ คือ พระกุกกุสันโทองค์
หนึ่ง พระโกนาคมองค์หนึ่ง พระกัสสปองค์หนึ่ง พระศากยมุนีองค์หนึ่ง พระศรีอาริยเมตไตรย์องค์หนึ่ง
เป็น ๕ องค์แล”
- การอธิบายด้วยคาถาหัวใจ แทนเลข ๕ ด้วย น โม พุทฺ ธา ย ดังกล่าวว่า “ปญฺจพุทธา นมามิหัง ได้แก่ น โม พุทฺ ธา ย”
- อีกหนึ่งความหมาย แทนเลข ๕ ด้วย พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ดังที่กล่าวว่า “ปญฺจพุทฺธา นมามิห พุทิเจ้าทัง ๕ อง”
- อีกหนึ่งความหมาย เลข ๕ แทนด้วยพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ดังที่กล่าวว่า ปญฺจพุทฺธา คือ เจ้าทัง ๕ องค”
ในการแทนความหมายตัวเลขทั้ง ๑๒ ตัว ตามลำดับการอธิบาย เลข ๕ ทั้งสี่ตัว คือ น โม พุทฺ ธา ย หรือ คาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ โดยเฉพาะเลข ๕ ตัวที่สี่ อธิบายทั้ง
ในเชิงรูปธรรม คาถาหัวใจ และหัวข้อธรรมทั้งสองส่วนว่า คือ พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ แสดงให้เห็นน้ำหนักความสำคัญกับพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์อย่างสูง อย่างไรก็ตามการตีความเรื่องพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ที่ปรากฏในคัมภีร์ลบผง มีความหมายที่กว้าง ตั้งแต่การให้ความหมายเชิงรูปธรรม ไปจนถึงขั้นนามธรรม เนื้อความในคัมภีร์ปถมังกล่าวย้อนไปถึงกำเนิดโลกไว้
ดังนี้ เมื่อโลกถือกำเนิดในครั้งแรกนั้น เต็มไปด้วยน้ำ ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม ได้เล็งญาณมาสู่โลกอันว่างเปล่าซึ่งขณะนั้นกำลังจะงวดขึ้นมาเป็นแผ่นดิน มองเห็นดอกบัว ๕ ดอก งอกขึ้นมาท่ามกลางระลอกน้ำ และเห็นรูป นะปถมังพินธุ ปรากฏอยู่ที่พื้นระลอกน้ำประดุจว่าเป็นรากเหง้าของดอกบัวทั้ง ๕ นั้น ซึ่งแต่ละดอกมีอักขระอยู่ดอกละ ๑ ตัวอักษร คือ น โม พุทฺ ธา ย ท้าวสหัมบดีจึงได้ตั้งชื่อกัปนี้ว่า ภัทรกัป อันหมายถึง กัปแห่งความเจริญรุ่งเรืองด้วยว่า จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติถึง ๕ พระองค์ หลังจากนั้นจึงทรงเอาหญ้าคาทิ้งลงมาบังเกิดเป็นแผ่นดินขึ้นมา สรรพชีวิตเริ่มวิวัฒนาการมาตั้งแต่บัดนั้น ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า ปถมัง ผู้ที่จะเล่าเรียนจะต้องกล่าวค าน้อมรำลึกถึงท้าวสหัมบดีพรหมเสียก่อน และในปฐมวรรคเมื่อลบปถมังพินธุ สำเร็จเป็นพระเจ้า ๕ พระองค์แล้ว ท่านให้นมัสการด้วยพระคาถานี้ น กาโร กกุสันโธ โม กาโร โกนาคมโน พุทฺ กาโร กสฺสโปพุทฺโธ ธากาโร โคตโมพุทฺโธ ย กาโร อริยเมตฺเตยฺโย ปญฺจพุทฺธา นมามิห น กาโร ปถมฌาน โม กาโร ทุติยฌาน พุทฺ กาโร ตติยฌาน ธา กาโร จตุตฺถฌาณ ย กาโร ปญฺจมฌาน น โม พุทฺ ธา ย ลกฺขณ สพฺพพุทฺเธหิ เทสิต น กาโร รูปกฺขนฺโธ โม กาโร เวทนานกฺขนฺโธ พุท กาโร สญฺญาญกฺขนฺโธ ธา กาโร สงฺขารกฺขนฺโธ ย กาโร วิญฺญานากฺขนฺโธ ปญฺจพุทฺธา นมามิห ฯ
คำแปล การทำ "น" คือ พระกกุสันโธ การทำ "โม" คือ พระโกนาคม การทำ "พุทฺ" คือ พระพุทธเจ้ากัสสป การทำ "ธา" คือ พระพุทธเจ้าโคตมะ การทำ "ย" คือ พระศรีอาริย์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ การทำ "น" คือ ปฐมฌาน การทำ "โม" คือ ทุติยฌาน การทำ "ธา" คือ จตุตถฌาน การทำ "ย" คือ ปัญจมฌาน ขอความนอบน้อม (จงมี) แด่พระพุทธเจ้า ลักษณะเหล่านี้ อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง ได้ตรัสเทศนาไว้แล้ว การทำ "น" คือ รูปขันธ์ การทำ "โม" คือเวทนาขันธ์ การทำ “พุท” คือสัญญาขันธ์ การทำ "ธา" คือ สังขารขันธ์ การทำ "ย" คือ วิญญาณขันธ์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์
ตัวเลขต่าง ๆ ที่ปรากฏในคัมภีร์ตรีนิสิงเห มีที่มาจากแนวคิดคณิตศาสตร์ และความรู้เกี่ยวกับดวงดาว ซึ่งตัวเลขเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยปราศจากหลักการ หากแต่มีความสัมพันธ์กัน สามารถอธิบายด้วยกลไกคณิตศาสตร์ การแทนเลขเหล่านี้ด้วยพระนามพระพุทธเจ้า ชื่อพระอรหันตสาวก ชื่อเทพต่าง ๆ เป็นการแทนค่าในระดับบุคลาธิษฐาน และเลขจ านวนเดียวกันยังแทนด้วยข้อธรรมต่าง ๆ ถือเป็นการแทนค่าในระดับธรรมาธิษฐาน นอกจากนี้ ที่มาของตัวเลขต่าง ๆ ยังใช้อธิบายแนวคิดทางปรัชญาและศาสนาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักพุทธปรัชญาที่ลึกซึ้งอย่าง นาม-รูป ธาตุ ขันธ์ และนิพพาน อีกทั้งโบราณาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์ตรีนิสิงเห ใช้ระบบตัวเลขอธิบายเทียบเคียงสูญตากับเลขศูนย์ นับว่าเป็นความคิดที่มีความลึกซึ้งอย่างมาก ดังนั้นคัมภีร์ตรีนิสิงเหจึงไม่ได้มีแต่เรื่องความเชื่อ
แบบไสยศาสตร์เท่านั้น แต่ยังมีแนวคิดที่เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งได้รับอิทธิพลโดยตรงจากพระพุทธศาสนา